นักลงทุนไม่ควรพลาด! “แฟรนไชส์ EV Charger” โอกาสใหญ่ในต่างจังหวัด

ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังกลายเป็นกระแสหลักของโลก ประเทศไทยเองก็มีการใช้งาน EV เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคและหัวเมืองรองที่เริ่มมีความต้องการสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางไกล ผู้ใช้รถส่วนบุคคล หรือแม้แต่ธุรกิจท้องถิ่นที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์รักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้ “แฟรนไชส์จุดชาร์จรถไฟฟ้า” เป็นหนึ่งในโอกาสการลงทุนที่น่าจับตามองที่สุด
ทำไมต่างจังหวัดถึงเป็นโอกาสทองของแฟรนไชส์ EV Charger
1. จำนวนสถานีชาร์จยังไม่เพียงพอ
ปัจจุบันสถานีชาร์จส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ขณะที่ต่างจังหวัดยังมี “ช่องว่างของตลาด” รอการเข้ามาลงทุน โดยข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า รถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นหลายหมื่นคันต่อปี แต่สถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุม

2. การเดินทางระหว่างจังหวัด
ผู้ใช้รถ EV ต้องการจุดชาร์จตามเส้นทางหลัก เช่น ถนนสายเอเชีย มิตรภาพ หรือเพชรเกษม เพื่อความสะดวกและมั่นใจในการเดินทาง
3. ธุรกิจท้องถิ่นสามารถต่อยอดได้
ปั๊มน้ำมัน โรงแรม รีสอร์ท คาเฟ่ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่โชว์รูมรถ สามารถติดตั้ง EV Charger เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และเพิ่มรายได้เสริมจากการใช้บริการอื่นๆ ระหว่างรอชาร์จรถ
ข้อดีของการลงทุนในแฟรนไชส์ EV Charger
- ใช้แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ นักลงทุนไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่ใช้ชื่อเสียงและระบบของแฟรนไชส์ที่ได้รับการยอมรับแล้ว
- มีระบบสนับสนุนครบวงจร ตั้งแต่การติดตั้ง บำรุงรักษา ซอฟต์แวร์การจัดการ ไปจนถึงการตลาด
- โอกาสคืนทุนไว ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการติดตั้ง EV Charger อยู่ที่หลักแสนถึงหลักล้าน ขึ้นอยู่กับกำลังไฟ แต่ด้วยความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มคืนทุนภายใน 3 – 5 ปี และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
- ตอบโจทย์ ESG และ Green Business เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
กลุ่มนักลงทุนที่เหมาะกับธุรกิจนี้
- ผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันและปั๊มแก๊ส ที่ต้องเสริมบริการใหม่
- เจ้าของโรงแรม รีสอร์ท และคาเฟ่ ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าและดึงดูดลูกค้าขับรถ EV
- นักลงทุนทั่วไป ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจในตลาดอนาคต
- นักอสังหาริมทรัพย์ ที่อยากสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการบ้านจัดสรรหรือคอนโด
เทรนด์ผู้ใช้ EV ที่ส่งผลต่อการเติบโตของสถานีชาร์จ
ศักยภาพของธุรกิจแฟรนไชส์ EV Charger ไม่ได้วัดจากจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมของผู้ใช้รถไฟฟ้าที่เปลี่ยนไป เช่น
- ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว : เลือกจุดชาร์จที่เข้าถึงง่ายและใช้เวลาน้อย
- นิยมการจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน : ระบบดิจิทัลเป็นตัวช่วยสำคัญ
- ต้องการประสบการณ์เพิ่มเติม : ลูกค้ามักมองหาคาเฟ่ ร้านอาหาร หรือมุมพักผ่อนระหว่างรอ
นักลงทุนที่เตรียมสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่พร้อมตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้ จะสร้างความได้เปรียบและดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ

ความท้าทายที่นักลงทุนควรรู้ก่อนเริ่มธุรกิจ EV Charger
แม้ธุรกิจนี้จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องพิจารณา เช่น
- ต้นทุนค่าไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน : ตรวจสอบว่าพื้นที่สามารถรองรับกำลังไฟเพียงพอ
- การแข่งขันในอนาคต : ผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้น อาจทำให้ราคาชาร์จถูกกดดัน
- การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี : เครื่องชาร์จรุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ต้องพร้อมอัปเกรด
- การตลาดและการสร้างการรับรู้ : แม้ติดตั้งแล้ว แต่ลูกค้าไม่รู้จัก ก็อาจไม่เกิดการใช้งานจริงไม่มีรายได้
การมองเห็นโอกาสและความท้าทาย จะช่วยให้นักลงทุนวางแผนได้รอบด้านและลดความเสี่ยงในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย FAQ
Q: การลงทุนแฟรนไชส์ EV Charger ต้องใช้งบประมาณเท่าไร?
A: ขึ้นอยู่กับประเภทเครื่องชาร์จ AC หรือ DC โดยทั่วไปเริ่มตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท
Q: แฟรนไชส์จุดชาร์จรถไฟฟ้าคืนทุนภายในกี่ปี?
A: หากเลือกทำเลที่เหมาะสม ROI อยู่ที่ประมาณ 3 – 5 ปี
Q: จะเปิดแฟรนไชส์จุดชาร์จรถไฟฟ้าต้องมีพื้นที่เท่าไร?
A: โดยทั่วไปมีพื้นที่สำหรับจอดรถ 2 – 4 คันขึ้นไป พร้อมรับไฟฟ้าที่รองรับกำลังชาร์จ
Q: ต่างจังหวัดเหมาะกับ AC หรือ DC Charger?
A: เส้นทางหลักและปั๊มน้ำมันควรใช้ DC Charger ส่วนรีสอร์ท โรงแรม หรือโครงการที่อยู่อาศัยเหมาะกับ AC Charger
แฟรนไชส์ EV Charger ไม่ใช่แค่ธุรกิจเสริม แต่คือโอกาสลงทุนระยะยาวที่สามารถตอบโจทย์ทั้งกระแสรถยนต์ไฟฟ้า ความต้องการที่ยังไม่เพียงพอในต่างจังหวัด และเทรนด์ธุรกิจสีเขียว นักลงทุนนอกจากจะได้ผลตอบแทนที่น่าสนใจแล้วยังได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสะอาดของประเทศ
พร้อมเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ Friendly Charger แล้วหรือยัง?
ลงทุนกับ Friendly Charger ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ที่ดูแลครบวงจรตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ติดตั้ง ไปจนถึงระบบหลังบ้านและการตลาด คืนทุนไว มั่นใจได้ว่าคุ้มค่าและปลอดภัย