ไขคำตอบ! “เปิดสถานีชาร์จ EV ดีไหม?” พร้อมเปรียบเทียบรายได้ธุรกิจ EV Charger แบบ Passive vs Active แบบไหนดีกว่า?

ev station

เข้าใจรูปแบบรายได้ วางแผนก่อนลงทุน เพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่า

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มของ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริม EV ราคาที่จับต้องได้มากขึ้น และความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกการเดินทางที่ประหยัดและรักษ์โลก ส่งผลให้ สถานีชาร์จ EV กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่หลายคนให้ความสนใจ

แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญก่อนที่นักลงทุนจะต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนเริ่มทำคือ… เปิดสถานีชาร์จ EV จะได้รับรายได้แบบ Passive Income หรือ Active Income? แล้วแบบไหนคุ้มค่า? 

วันนี้ Friendly Charger จะพาไปดูข้อมูลเปรียบเทียบแบบเจาะลึก เพื่อช่วยให้คุณวางแผนลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีโอกาสคืนทุนเร็วที่สุด

ทำความเข้าใจกันก่อนว่า รายได้ Passive และ Active ต่างกันอย่างไร?

  • Passive Income (รายได้แบบไม่ต้องลงแรงตลอด) 

รายได้ที่เกิดขึ้นเองอย่างต่อเนื่อง แม้คุณไม่ได้ลงแรงทำงานประจำ เช่น รายได้จากค่าเช่าพื้นที่, ค่าใช้บริการจากสถานีชาร์จที่เชื่อมต่อระบบอัตโนมัติ

  • Active Income (รายได้จากการลงแรง) 

รายได้ที่ต้องแลกมาด้วยการลงแรงและบริหารจัดการ เช่น เปิดร้านกาแฟพร้อมสถานีชาร์จ, ให้บริการแบบดูแลลูกค้า, ทำโปรโมชันหรือขายแพ็กเกจเสริม

ev charge

รายได้แบบ Passive ปล่อยให้ระบบทำเงินแทนคุณ

หลายคนที่มีทำเลทอง เช่น หน้าร้านสะดวกซื้อ ลานจอดรถ คอนโด ออฟฟิศ หรือปั๊มน้ำมัน อาจสนใจติดตั้งเครื่องชาร์จ EV โดยไม่ต้องบริหารจัดการมากนัก เพียงแค่…

  • ลงทุนติดตั้งเครื่องชาร์จ EV และระบบหลังบ้าน (ซอฟต์แวร์ควบคุม – ชำระเงิน)
  • เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มกลางที่ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและจองจุดชาร์จได้
  • ตั้งค่าราคาชาร์จและปล่อยให้ลูกค้าใช้บริการตามต้องการ

ข้อดีของ Passive Income

  • รายได้เข้าทุกครั้งที่มีมาใช้โดยไม่ต้องลงแรง
  • ไม่ต้องมีพนักงานประจำจุดดูแล
  • เหมาะกับเจ้าของพื้นที่ที่อยากให้ที่ดินหรือที่จอดรถสร้างได้เพิ่ม
  • ดูแลรักษาเพียงเล็กน้อย เช่น ตรวจเช็กเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าเดือนละครั้ง

ข้อจำกัดของ Passive Income

  • ถ้าทำเลไม่ดี รายได้อาจจะต่ำ
  • ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการระบบกลางหรือแอปพลิเคชัน
  • มีต้นทุนเริ่มต้นค่อนข้างสูง (เฉลี่ย 200,000 – 500,000 บาท/หัวชาร์จ)

รายได้ Active ลงแรงมากขึ้น แต่โอกาสทำกำไรมากกว่า

อีกทางเลือกคือการทำสถานีชาร์จ EV แบบ Active ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมรายได้และบริหารลูกค้า เช่น

  • เปิดร้านคาเฟ่ + EV Charger
  • บริการเช่าชาร์จแบบรายเดือน
  • จัดโปรโมชัน สะสมแต้ม ให้บริการดูแลรถยนต์ระหว่างรอชาร์จรถ

ข้อดีของรูปแบบ Active Income

  • สามารถสร้างรายได้เสริม จากบริการอื่นได้ เช่น กาแฟ ของว่าง คาร์แคร์ ฯลฯ
  • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ทำให้เกิดลูกค้าประจำ
  • ควบคุมคุณภาพบริการและประสบการณ์ลูกค้าได้มากกว่า
  • ขยายกิจการในอนาคตง่าย เช่น เพิ่มสาขา หรือทำระบบสมาชิก

ข้อจำกัดของรูปแบบ Active Income

  • ต้องมีทีมงานหรือพนักงาน
  • ใช้เวลาในการบริหารจัดการ และทำการตลาด
  • ต้นทุนการดำเนินงานต่อเนื่อง (ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรง)

วิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละรูปแบบ

รายการเปรียบเทียบ

Passive Income

Active Income

พึ่งทำเล สูง ปานกลาง
ความผันผวนจองรายได้ ปานกลาง สูง (ตามกิจกรรมส่งเสริมการขาย)
ค่าใช้จ่ายประจำ ต่ำ สูง
ความยุ่งยากในการดูแล น้อย มาก
ความเสี่ยงจากการแข่งขัน ปานกลาง ปานกลาง-สูง

 

เปรียบเทียบ Passive vs Active แบบไหนเหมาะกับคุณ?

รายการเปรียบเทียบ

Passive Income

Active Income

เงินลงทุนเริ่มต้นปานกลาง-สูง (เครื่องชาร์จ+ระบบ)ปานกลาง-สูง (เพิ่มต้นทุนสถานที่+บริการ)
ความถี่ในการดูแลน้อยสูง (บริหารทุกวัน)
รายได้เฉลี่ยต่อเดือนปานกลาง (ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้)สูง หากบริการดี มีลูกค้าประจำ
คืนทุนโดยเฉลี่ย2-5 ปี (ขึ้นอยู่กับทำเล)2-3 ปี (มีบริการเสริมจะคืนทุนเร็วขึ้น)
ความเสี่ยงน้อย ถ้าทำเลดีมากกว่า แต่ควบคุมได้

แล้วจะเลือก Passive หรือ Active อย่างไรดี?

การเลือกว่าจะลงทุนแบบไหน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจ เวลาในการบริหาร และทรัพยากรที่ทีมีอยู่

  • ถ้าคุณมีพื้นที่ว่าง เช่น คอนโด อาคารสำนักงาน หรือที่จอดรถสาธารณะ ที่มีรถ EV ผ่านจำนวนมากและไม่มีเวลาบริหารเอง รูปแบบ Passive จะตอบโจทย์ที่สุด
  • ถ้าคุณมีร้านค้าอยู่แล้ว เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือคาร์แคร์ และต้องการเพิ่มรายได้จากกลุ่มลูกค้า EV รูปแบบ Active จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้แบบมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์เสริม เพิ่มโอกาสสำเร็จในการเปิดสถานีชาร์จ EV

  • เลือกแบรนด์ที่เครื่องชาร์จเชื่อถือได้ พร้อมระบบหลังบ้านเสถียร
  • เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม EV Charging App ที่มีผู้ใช้จำนวนมาก
  • วางแผนโปรโมทจุดชาร์จผ่าน Google Map, Facebook, Tiktok, รีวิว ฯลฯ
  • หาพาร์ตเนอร์ร่วมธุรกิจ เช่น ร้านกาแฟ หรืออสังหาริมทรัพย์
  • คิดเผื่อการขยายในอนาคต เช่น เพิ่มหัวชาร์จหรือเพิ่มบริการสมาชิก

แล้วถ้าจะเปิดสถานีชาร์จ EV คุ้มไหม?

คุ้มมาก! ถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้

  • พื้นที่หรือทำเลที่มีรถ EV ผ่านบ่อย
  • งบลงทุนเริ่มต้นที่เพียงพอ
  • มองเห็นการเติบโตของ EV ในอนาคต 5 – 10 ปีข้างหน้า

แล้วควรเลือกรูปแบบไหน?

  • ถ้าอยากให้เงินทำงานแทนคุณ = Passive
  • ถ้ามีร้านหรือทีมงานอยู่แล้ว และอยากขยายรายได้ = Active

ในอนาคตตลาดรถ EV ยังเติบโตได้อีกมากใน 5 – 10 ปีข้างหน้า หากคุณเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบในเรื่อง ทำเล การสร้างฐานลูกค้า และการคืนทุนเร็วกว่าอย่าปล่อยให้พื้นที่ว่างของคุณอยู่เฉยๆ ให้ Friendly Charger ช่วยเปลี่ยนที่ว่างให้เป็นรายได้แบบยั่งยืนด้วยโซลูชันสถานีชาร์จ EV ที่ครบวงจร ตั้งแต่เริ่มวิเคราะห์ทำเล วางแผนคืนทุน ติดตั้งเครื่องชาร์จ ระบบชำระเงิน ไปจนถึงบริการหลังการขาย

Scroll to Top